สำนักวัดเขาอ้อ ตักศิลาทางไสยเวทย์ภาคใต้
วัดเขาอ้อ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
วัดเขาอ้อ เป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มาแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธา ของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่าพระครูสิทธิยาภิรัต(เอียด) พระอาจารย์นำแก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงินวัดดอนศาลาพระครูพิพัฒน์สิริธร(อาจารย์คง)วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปานวัดเขาอ้อ และ ที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นต้น ชื่อเสียงของวัดเขาอ้อที่ผู้คนทั่วไปรู้จักมักจะเน้นไปในทางไสยเวทเสียมากกว่า
ทั้งที่วัดเขาอ้อยังมีดีมากกว่านั้น โดยเฉพาะวิชาการแพทย์แผนโบราณพูดได้ว่าไม่มีสำนักใหนทางภาคใต้ที่จะชัดเจนและได้ผลชะงัดเท่ากับสำนักนี้ แม้ปัจจุบันจะคลายลงไปบ้าง แต่ก็หาได้สูญหายไปอย่างใดไม่ อย่างน้อยที่สุดยังมีพระอาจารย์หลายรูปที่สืบทอดกันมา
ตำนานสำนักเขาอ้อ เล่ากันว่า จุดกำเนิดของสำนักวัดเขาอ้อนั้น แต่เดิมเป็นที่บำเพ็ญพรตของพราหมณ์มาหลายรุ่น เนื่องจากภายในถ้ำ บนเขาอ้อนั้น เป็นทำเลที่ดีมาก ตัวเขาอ้อเองก็ตั้งอยุ่บนเส้นทางสัญจรของชุมชน ในอดีตเมืองที่เจริญในละแวกนั้น ซึ่งได้แก่สทิงปุระ หรือ สะทิงพาราณสี ซึ่งก็คืออำเภอ สทิงพระ ในปัจจุบัน ประวัติของเมืองสทิงปุระนั้น เกี่ยวข้องกับพราหมณ์อยู่มาก
แม้กระทั่ง ในสมัยศรีวิชัย ที่ศาสนาพุทธ แผ่อิทธิพล ทั่วแหลมมาลายู ในบริเวณสว่นนั้น(เขตเมืองพัทลุงในปัจจุบัน) ยังเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของพราหมณ์ หลักฐานทางประวัติศาตร์บอกว่าเป็นเมืองที่มีชุมชนหนาแน่นที่สุด
ในขณะนั้นมีพราหมณ์ผู้ทรงวิทยาคุณ(ฤาษี) คณะหนึ่ง ได้ไปบำเพ็ญพรตอยู่ที่ถ้ำบนเขาอ้อบำเพ็ญพรตจนเกิดอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ตามตำราอาถรรพเวท (พระเวทอันดับสี่ของคัมภีร์พราหมณ์) แล้วได้ถ่ายทอดวิชานั้นต่อๆกันมาพร้อมกันนั้น ก็ได้จัดตั้งสำนักถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้สนใจ ซึ่งตามวรรณะแล้วพราหมณ์มีหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เชื้อพระวงศ์ หรือ วรรณะกษัตริย์ และ ลูกหลานผู้นำ เพื่อจะให้นำไปเป็นความรู้ในการปกครองคนต่อไป สำนักเขาอ้อสมัยนั้น จึงมีฐานะคล้ายๆ สำนักทิศาปาโมกข์ของพราหมณ์ผู้ทรงคุณ
พราหมณ์ผู้ทรงคุณดังกล่าวได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้พราหมณาจารย์สืบทอดต่อ ๆ กันมาซึ่งเท่าที่สืบค้นรากฐานก็พบว่า วิชาที่ถ่ายทอดให้คณาศิษย์นอกจากวิชาในเรื่องการปกครองตามตำราธรรมศาตร์แล้วก็ยังมีเรื่องพิธีกรรม ฤกษ์ยามการจัดทัพตามตำราพิชัยสงคราม ตลอดจนไปถึงไสยเวทและการแพทย์ตามตำนานบอกวิชาสองสายสืบทอดโดยพราหมณาจารย์ผู้เฒ่าสองคน ซึ่งสืบทอดกันคนละสาย สำนักเขาอ้อในสมัยนั้น เป็นสำนักทิศาปาโมกข์ จึงมีพราหมณ์อยู่สองท่านเสมอ
การสืบทอดวิชาของสำนักเขาอ้อได้ดำเนินเช่นนั้นจนกระทั้งมาถึงพราหมณ์รุ่นสุดท้ายเห็นว่าไม่มีผู้รับสืบทอดต่อแล้ว ประกอบกับเล็งเห็นว่าเมื่อสิ้นท่านแล้ว
สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พราหมณ์ผู้บรรลุพระเวทหลายคนได้ฝังร่างไว้ที่นั้น สถานที่นั้นจึงสำคัญเกินที่จะปล่อยให้รกร้างไป ได้พราหมณ์ผู้เฒาท่านนั้นจึงได้เล็งหาผู้ที่จะมาสืบทอดและรักษา
สถานที่สำคัญนั้นไว้ ประกอบกับขณะนั้นอิทธิพลทางพุทธศาสนา ได้แผ่เข้ารายล้อมเขตเมืองพัทลุงแล้วบริเวณข้าง ๆ เขาอ้อมีวัดอยู่หลายวัด วัดที่ใกล้ที่สุดคือ ?วัดน้ำเลี้ยว?
มหาพราหมณ์ทั้งสองท่านเล็งเห็นว่าต่อไปภายภาคหน้าพุทธศาสนาจะยั่งยืน และ แผ่อิทธิพลในดินแดนแถบนั้น การที่จะฝากอะไรไว้กับผู้ที่ยั่งยืน และ มีอิทธิพลน่าจะเป็นการดี ท่านเลยตัดสินใจ ไปนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่งมาจากวัดน้ำเลี้ยว ให้มาอยู่ในถ้ำแทนท่าน แล้วมอบคำภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของบูรพาจารย์พราหมณ์ให้พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาทางไสยเวทให้ รวมทั้งวิชาทางแพทย์แผนโบราณ